เมื่อพูดถึงเทรนด์การทำงานในปัจจุบัน เราคงต้องพูดถึงรูปแบบการทำงานอย่างการไปนั่งร้านกาแฟ เปิดแล็ปท็อปแล้วมองหาสัญญาณ WiFi เพื่อต่ออินเทอร์เน็ตแล้วเริ่มทำงาน ทำเสร็จก็ส่งออนไลน์ ประชุมงานผ่านวีดีโอคอล และคุยงานผ่านแชท ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ก็ทำงานได้ กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นในแวดวงธุรกิจโดยเฉพาะในกลุ่มสตาร์ทอัพ
ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่พัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้พนักงานไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่ออฟฟิศหรือสถานที่ขององค์กรอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ยินคำใหม่มากมายอย่าง Digital Nomad, Remote Working หรือ Work from Home ที่กลายมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคนยุค 4.0 ได้ใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกงานหรือบริษัทในตอนนี้ แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ เรามาทำความเข้าใจเทรนด์นี้พร้อมข้อดีและข้อเสียของมันกันก่อน
ถ้าไม่นั่งทำงานในออฟฟิศ แล้วเราสามารถทำงานที่ไหนได้บ้าง ?
คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่หลายๆคนกำลังสงสัยและมองหาเป็นตัวเลือกกันอยู่ โดยเฉพาะฟรีแลนซ์ เจ้าของธุรกิจออนไลน์ และคนที่เลือกทำงานอิสระ เพื่อพิจารณาว่าสถานที่นั้นตรงกับความชอบของคุณหรือไม่? เหมาะแก่การไปนั่งทำงานไหม? และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? ลองมาดูกันดีกว่า ว่ามีตัวเลือกอะไรบ้างที่สามารถทำงานได้และแตกต่างกันอย่างไรในเบื้องต้น
เมื่อรู้จักสถานที่ทำงานต่างๆแล้ว อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจคือ การทำงานนอกออฟฟิศแบบนี้มันมีข้อดี ข้อเสียยังไงบ้างล่ะ?
1. ไม่เสียเวลาเดินทาง
ไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือรถสาธารณะอย่างรถเมล์หรือรถไฟฟ้า เราก็ปฏิเสธกันไม่ได้อยู่ดีว่าการเดินทางไปที่ทำงานนั้นเสียเวลาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเมืองอย่างกรุงเทพที่ติดอันดับรถติดอยู่ทุกปี การทำงานนอกที่ทำงานจึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้โดยตรง เพราะคุณไม่ต้องรีบเดินทางไปทำงานในตอนเช้าเพื่อสแกนนิ้วหรือตอกบัตรอีกต่อไป ถือเป็นการประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทาง รวมถึงเป็นการลดความเครียดจากการเดินทางอีกด้วย
ลองนึกง่าย ๆ เช่น ช่วงเวลาตอนเช้าวันจันทร์หรือวันศุกร์สิ้นปีที่รถติดมากกว่าปกติ หลายคนที่เดินทางไปทำงานก็มักจะหงุดหงิด และมีความเครียดโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ดังนั้นการทำงานนอกออฟฟิศจึงเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่หรือผู้ประกอบการธุรกิจมากกว่าการทำงานแบบเดิมที่ยึดติดกับการเข้าออฟฟิศตลอดทุกวัน
2. มีความยืดหยุ่นสูง
จุดเด่นที่สุดของการทำงานนอกสถานที่ซึ่งแตกต่างกับการทำงานในออฟฟิศอย่างชัดเจนคือ ความอิสระในการทำงาน ซึ่งหมายถึง การเลือกสถานที่ทำงานเองได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟใกล้บ้าน หรือ Coworking space ติดรถไฟฟ้า เลือกเวลาในการทำงานได้โดยไม่ต้องรีบร้อนหากมีนัดหรือลาป่วยอะไร เลือกว่าจะแต่งตัวยังไงให้สบายโดยไม่ต้องเป็นชุดทำงานทางการก็ได้ รวมถึงเลือกสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผ่อนคลายมากที่สุด
นอกจากนี้เรายังสามารถจัดสรรตารางเวลาของตัวเองได้ 100% ทำให้มี Work-Life Balance (สมดุลชีวิต) ที่จัดการได้มากขึ้น โดยมีหลักฐานเพิ่มเติมจากงานวิจัยที่ระบุว่าการให้โอกาสพนักงานทำงานนอกสถานที่ได้ และตารางงานที่ยืดหยุ่นส่งผลต่อการตัดสินใจทำงานหรือลาออกของพนักงานอีกด้วย
3. Productivity กับประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีมากขึ้น
นอกจากความสะดวกในการจัดสรรเวลาเองได้ พนักงานยังสามารถเลือกทำงานตอนที่อยากทำ รู้สึกพร้อมมากที่สุด และทำงานออกมาได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหลังตื่นนอนที่สมองแล่นและไม่ง่วง หรือตอนกลางคืนก่อนนอนที่รู้สึกผ่อนคลาย คุณก็สามารถเริ่มทำงานในเวลานั้นได้ ถ้าคุณส่งงานได้ตรงเวลา โดยไม่มีใครมาบังคับ นอกจากนี้การทดลองจาก Gallup ในอเมริกายังค้นพบอีกว่า การทำงานนอกสถานที่ทำให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น
4. ความเครียดและการรบกวนที่ลดลง
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอปัญหาในที่ทำงานอย่างความกดดันจากหัวหน้างานที่นั่งอยู่ไม่ไกลโต๊ะของคุณ เสียงคุยและเสียงรบกวนดังในที่ทำงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเดินไปเดินมาตลอดเวลาของเพื่อนร่วมงาน และบรรยากาศในการทำงานที่ตึงเครียด แน่นอนว่ามันรบกวนสมาธิในการทำงาน ทำให้คุณโฟกัสงานได้ลดลง และมีความเครียดได้ง่ายพอ ๆ กับภาระงานที่มีเช่นกัน การทำงานนอกออฟฟิศจึงช่วยกำจัดปัญหาเหล่านี้ ทำให้คุณโฟกัสและมีสมาธิกับงานได้เต็มที่ โดยไม่มีความเครียดและสิ่งรบกวนภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป
5. ประหยัดค่าใช้จ่าย
การทำงานนอกออฟฟิศช่วยลดค่าใช้จ่ายของพนักงานหรือลูกจ้างโดยตรง เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางที่อาจจะยิ่งแพงในชั่วโมงเร่งรีบ รวมถึงค่าอาหารกลางวัน ซึ่งมักมีราคาแพงกว่าปกติในย่านธุรกิจ และในมุมของเจ้าของธุรกิจที่ต้องเช่าหรือสร้างออฟฟิศ การอนุญาตให้พนักงานทำงานข้างนอก ไม่ว่าจะยกเว้นแค่บางวันหรือไม่มีออฟฟิศเลย ก็ช่วยลดต้นทุนค่าสิ่งของอำนวยความสะดวก ค่าไฟ และอุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นทุนก้อนใหญ่ในการเริ่มต้นธุรกิจเช่นกัน
6. กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์คือ สภาพแวดล้อมรอบตัวในที่ทำงาน ซึ่งมักจะถูกออกแบบตามบริษัทโดยที่พนักงานไม่มีสิทธิเลือกหรือจัดการใด ๆ นอกจากบริเวณโต๊ะประจำของตัวเองเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ บางสภาวะนั้นไม่เอื้อต่อการคิดนอกกรอบ แม้ว่าหลายๆบริษัทจะเริ่มออกแบบห้องทำงานเป็น ออฟฟิศเป็นเปิด (open office) ที่ไม่มีฉากกั้นแต่ละคน หรือใส่ต้นไม้ให้ดูสบายตา แต่ยังไงการทำงานนอกออฟฟิศก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะคุณสามารถเลือกนั่งทำงานในสถานที่ที่คุณชอบและไม่น่าเบื่อได้ ออกแบบโต๊ะหรือสิ่งของรอบตัวที่เหมาะกับการคิดงาน รวมถึงรู้สึกสบายใจในการทำงานส่วนตัว ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก
1. การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนลดลง
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะทำให้คุณสามารถสื่อสารกับคนในทีม หัวหน้าและลูกค้าได้อย่างสะดวกสบาย แต่การนั่งทำงานคนเดียวก็หมายถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ที่ลดลง ไม่ได้ทานข้าวหรือกาแฟด้วยกัน ไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดในช่วงเวลาพักหรือคุยเล่นกันมากเท่าที่ควร ทำให้ฟรีแลนซ์และคนทำงานอิสระส่วนใหญ่มักจะรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว
2. ความร่วมมือในการทำงานที่ยากขึ้น
จำโมเมนต์ที่คุณยืนคุยงานกับเพื่อนระหว่างลงลิฟต์หรือปรึกษาสั้น ๆ ตอนกินข้าว นี่คือประโยชน์ของการทำงานในออฟฟิศ ซึ่งช่วยเพิ่มความสนิทสนมกับคนในทีม เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร และเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงาน เพราะบางกรณีช่องทางในการสื่อสารออนไลน์ก็ยังมีข้อจำกัด ทำให้งานเกิดความผิดพลาดได้ง่ายจากการสื่อสารที่ผิดพลาด
ดังนั้นการสื่อสารแบบพบหน้ากัน (Face to Face) จึงยังคงจำเป็น เช่น การหันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อคุณไม่เข้าใจ ก็ทำให้การทำงานของคุณง่ายขึ้น นอกจากนี้การทำงานนอกออฟฟิศยังส่งผลให้คุณไม่รู้สึกผูกพันกับองค์กรด้วย
3. แยกชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวออกจากกันยาก
ปัญหาที่มักส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพการทำงานคือ เส้นแบ่งระหว่างเวลาการทำงานกับเวลาส่วนตัว ถ้าคุณตื่นมาแล้วนั่งทำงานบนโต๊ะใกล้ ๆ เตียง หรือทำงานช่วงเวลาก่อนนอน การตัดสินใจปิดคอมก็ยากกว่าการทำงานที่ออฟฟิศ และการทำงานนอกออฟฟิศก็ไม่ได้แปลว่าคุณต้องว่าง รอตอบงาน หรือทำงานตลอด 24 ชั่วโมงจนไม่มีเวลาชีวิตให้ตัวเอง ซึ่งในบางทีการทำงานแบบไม่มีกำหนดเวลาแบบนี้ก็ยากต่อการแยกชีวิตส่วนตัวออกจากการทำงาน ทำให้คุณทำงานมากเกินไป เกิดความเครียด และหมดไฟในการทำงานได้ง่าย ๆ
4. สิ่งรบกวนอีกรูปแบบ
ถ้าคุณเลือกจะทำงานที่บ้าน สิ่งรบกวนสมาธิที่สำคัญคงหนีไม่พ้นเตียงข้างกาย หรือ Netflix ที่ดูค้างไว้บนทีวี เพราะการทำงานนอกออฟฟิศต้องใช้ความรับผิดชอบและความตั้งใจจากตัวเองสูง เมื่อคนรอบตัวของคุณไม่ได้ทำงานไปพร้อมกัน การบังคับตัวเองให้นั่งทำงานจึงอาจจะยากกว่าปกติ อาจจะขาดแรงจูงใจและแรงกระตุ้นในการทำงาน ดังนั้นความแตกต่างของสไตล์การทำงานนอกกับในออฟฟิศก็คือ สิ่งรบกวนคนละแบบที่ทำให้คุณว้าวุ่นใจ หรือขาดสมาธิ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณลดลงได้
แม้ว่าการทำงานนอกสถานที่จะมีข้อดีมากมายที่ทำให้คุณมีอิสระในการทำงาน มีประสิทธิภาพและมีสมาธิสูงขึ้น แต่ก็ย่อมมีข้อเสียตามมา เพราะไม่ใช่ทุกอาชีพที่เหมาะกับการทำงานนอกสถานที่ ลองนึกถึงงานสายวิศวกรรมที่ต้องทำภายในโรงงาน หรืองานบริการที่ต้องประจำอยู่หน้างานเสมอ การทำงานนอกออฟฟิศก็ยังมีข้อจำกัดและอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานโดยตรง
ทว่าในปัจจุบัน หลายบริษัทก็เริ่มเปิดโอกาสให้พนักงานทำงานนอกออฟฟิศ เช่นการเช่า Coworking Space ให้พนักงานมาใช้ได้ตามสะดวก การใช้ Coworking Space เป็นที่ประชุมงานหรือจัดสัมมนาโดยการเช่าห้องประชุม รวมถึงบริษัทที่ใช้ Coworking Space เป็นออฟฟิศถาวรไปเลย โดยเช่าห้องระยะยาวแล้วจดทะเบียนเป็นบริษัทในรูปแบบ Virtual Office ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีอิสระ แต่ก็มีออฟฟิศเป็นของตัวเอง โดยที่ HUBBA เราให้บริการตั้งแต่พื้นที่ทำงาน อุปกรณ์ ห้องประชุมที่หลากหลาย และพื้นที่ที่สนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดและโอกาสในการสร้างคอนเนคชั่นใหม่กับเจ้าของธุรกิจอื่นๆ พร้อมบริการที่ครบครัน
สนใจเพิ่มเติมดูรายละเอียดที่นี่ !!
กดเพิ่ม HUBBA เป็นเพื่อน เพื่อติดตามข่าวสารและร่วมสนุกกิจกรรมอื่นๆ ได้แล้วที่ไลน์แอด @hubbathailand